หวง เฟยหง (สำเนียงจีนกลาง) หรือ หว่อง เฟฮง (สำเนียงกวางตุ้ง)
(จีนตัวเต็ม: 黃飛鴻; จีนตัวย่อ: 黄飞鸿; พินอิน: Huáng Fēihóng;
เป็นปรมาจารย์กังฟูที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์จีน
(9 กรกฎาคม ค.ศ. 1847 — 25 มีนาคม ค.ศ. 1924) มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีจากภาพยนตร์กำลังภายใน ในฐานะที่เป็นวีรบุรุษต่อสู้เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีชาวจีนจากการคุกคามของชาวตะวันตกในยุคล่าอาณานิคม เช่นเดียวกับ หง ซีกวน และ ฮั่ว หยวนเจี๋ย
หวง เฟยหง เกิดเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ. 1847 ตรงกับปีที่ 25 ในรัชสมัยฮ่องเต้เต้ากวง แห่งราชวงศ์ชิง (บางข้อมูลบอกว่า เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1856 ตรงกับปีที่ 6 ในรัชสมัยฮ่องเต้เสียนเฟิง) ที่หมู่บ้านหลูเจ้า ใกล้ภูเขาสีเฉียว เมืองฝอซาน มณฑลกวางตุ้ง เป็นบุตรของหวง ฉีอิง (黃麒英, หว่อง เข่ยฺ เย้ง ในสำเนียงกวางตุ้ง) ซึ่งเป็นปรมาจารย์กังฟูผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง และเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม "10 พยัคฆ์กวางตุ้ง" (伏虎拳) ที่มีชื่อเสียงเช่นกัน
ถึงแม้จะเป็นบุตรของปรมาจารย์กังฟู แต่ หวง ฉีอิง ก็มิได้ถ่ายทอดวิทยายุทธให้แก่บุตรชาย ด้วยเหตุผลที่ไม่แน่ชัดนัก หวง เฟยหง ได้มีอาจารย์สอนวิชากำลังภายในให้คือ ลู่ อาไฉ (陸阿采) ผู้เป็นสหายร่วมสำนักเส้าหลินกับ หง ซีกวน (洪熙官) วีรบุรุษกังฟูที่มีชื่อเสียงอีกคน ถ่ายทอดวิชามวย "หงฉวน" (洪拳) โดยมีกระบวนท่าที่มีชื่ออย่าง "หมัดพยัคฆ์ดำ-กะเรียนขาว" (黑虎拳, 白鶴拳) ให้
นอกจากได้ ลู่ อาไฉเป็นอาจารย์แล้ว ในวัยเยาว์ หวง เฟยหง ยังได้ร่ำเรียนวิชาหงฉวนเพิ่มเติมจาก หล่ำ ฟกซิง (Lín Shìróng, 林世榮) จากนั้นก็ได้รับการสั่งสอนเพิ่มเติมจาก หวง ฉีอิง ผู้เป็นบิดา
ในวัยเด็กครอบครัวของ หวง เฟยหง มีฐานะยากจน ต้องตระเวนรอนแรมไปเปิดทำการแสดงวิชาฝีมือและขายยาตามท้องถนน โดยสรุปแล้วชีวิตในช่วงวัยเยาว์และวัยหนุ่มของ หวง เฟยหง เป็นระยะเวลาของการฝึกฝนวิชาฝีมือต่อสู้ป้องกันตัว และการรับมรดกสืบทอดวิชาแพทย์จากบิดา ซึ่งเป็นแพทย์แผนโบราณที่ได้รับการยกย่องนับถือ
หวง เฟยหงได้สร้างวีรกรรมอันลือชื่อขึ้นมา 2 เหตุการณ์ที่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อ หวง เฟยหง มีอายุ 16 ปี มีชาวตะวันตกกลุ่มหนึ่งคิดค้นกิจกรรมสร้างความบันเทิง โดยฝึกฝนสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ด จนดุร้ายกระหายเลือด จากนั้นก็เปิดเวทีท้าประลองให้ชาวจีนสู้กับสุนัข ผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัลมูลค่าสูง แต่หากพลาดพลั้งบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ก็ถือเป็นคราวเคราะห์ที่ไม่มีผู้ใดรับผิดชอบ กิจกรรมนี้กลายเป็นเรื่องโจษจันเกรียวกราวไปทั่ว ผู้คนจำนวนมากที่เข้าประลองล้วนแล้วแต่พ่ายแพ้ บ้างโชคดีก็แค่บาดเจ็บ แต่มีจำนวนไม่น้อยที่ต้องเสียชีวิตไปอย่างไร้เปล่า เมื่อ หวง เฟยหง ล่วงรู้เรื่องดังกล่าว จึงเข้าประลองเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีให้แก่ชาวจีน และเป็นฝ่ายชนะอย่างง่ายดาย ด้วยกระบวนท่าที่เรียกว่า "ฝ่าเท้าไร้เงา" ซึ่งเป็นไม้ตายประจำตัวที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากสุดของเขา เหตุการณ์ต่อมาคือ เมื่อครั้งที่ท่าเรือฮ่องกงเพิ่งเปิดทำการ หวง เฟยหงในวัย 21 ปี ไม่อาจทนเห็นผู้อ่อนแอโดนนักเลงท้องถิ่นจำนวนมากรุมรังแก จึงยื่นมือเข้าขัดขวาง ด้วยการใช้กระบองไม้ไผ่เป็นอาวุธบุกเดี่ยวเข้าสู้กับฝ่ายตรงข้ามจำนวนหลายสิบคน กลายเป็นศึกตะลุมบอนอันลือลั่น (บริเวณที่เกิดเหตุดังกล่าว ปัจจุบันคือสวนสาธารณะที่ถนนฮอลลีวูด บนเกาะฮ่องกง)
ผลการต่อสู้ หวง เฟยหง สามารถหลบหนีไปได้ และทำร้ายบรรดานักเลงอันธพาลบาดเจ็บไปหลายคน แต่การปะทะครั้งนั้น ก็ส่งผลให้ หวง เฟยหงไม่อาจพำนักอยู่ในฮ่องกงได้อีกต่อไป และต้องเดินทางกลับไปยังกวางเจา ช่วงชีวิตของหวง เฟยหง ซึ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากสุด โดยผ่านการบอกเล่าของภาพยนตร์ต่าง ๆ มากมาย ในยุคปัจจุบัน คือ ช่วงวัยอายุประมาณ 30 ปี หวง เฟยหง กลายเป็นปรมาจารย์กังฟูมีชื่อเสียง พร้อม ๆ กันนั้นเขาก็ได้เปิดร้านขายยาและสถานพยาบาล ชื่อ "เป่าจือหลิน" (โปจี๋หลำ, 寶芝林)
เป่าจือหลินกลายเป็นร้านขายยาที่โด่งดังเป็นตำนานเช่นเดียวกับชื่อเสียงของ หวง เฟยหง (บริเวณที่ตั้งของร้านเป่าจือหลิน สันนิษฐานว่าอยู่ที่ตรอกหยั่นออน ถนนสายที่ 13 เขตกวางเจาตะวันตกในปัจจุบัน) ด้วยเหตุที่ให้การรักษาผู้เจ็บป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสำหรับผู้ยากไร้ บ่อยครั้งยังเป็นการเยียวยาพยาบาลโดยไม่คิดเงิน วิชาแพทย์ของหวง เฟยหง ได้รับการยกย่องไม่น้อยหน้าวิชาการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นการต่อกระดูก ตำรับยาเฉพาะประจำตระกูล หรือการรักษาโดยวิธีการฝังเข็ม
หวง เฟยหง ผ่านการแต่งงานทั้งหมด 4 ครั้ง มีลูกทั้งหมด 10 คน ภรรยาสามคนแรกล้วนเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ส่งผลให้เขานึกโทษตนเองว่าเป็นต้นเหตุแห่งเคราะห์ร้ายแก่คนที่ตนรัก และตัดสินใจว่าจะไม่ยอมแต่งงานอีก แต่แล้วในปี ค.ศ. 1903 เขาได้พบกับหญิงสาววัย 16 ปีชื่อ "มอก ไกวหลาน" (ม่อกุ้ยหลาน, 莫桂蘭) และตกหลุมรักซึ่งกันและกัน จนนำไปสู่การแต่งงานในที่สุด
ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก สารานุกรม วิกิพีเดีย
และภาพจากภาพยนตร์ 《黄飞鸿之英雄有梦》
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น