วันหนึ่งในปลายฤดูใบไม้ผลิ ของรัชสมัยเว่ยจิ่งหยวน ตรงกับปี คริสต์ศักราช 263 นักโทษประหารคนหนึ่งค่อยๆ เดินไปทางนอกประตูเจี้ยนชุน ฝั่งเมืองตะวันออก ณ เมืองลั่วหยาง บน ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกที่มืดครึ้มและเย็นยะเยือก แววตาละห้อยนับร้อยนับพันคู่ของกลุ่มฝูงชนเพ่งมองด้วยความอาลัย เขากําลังเดินเข้าไปสู่ความตาย “ไม่” ในความเป็นจริงแล้ว เขากําลังเดินข้ามไปยังโลกอีกโลกหนึ่งอย่างสงบ เวลาประหารได้ใกล้เข้ามาถึง เขารับกู่ฉินมาจากมือ ของพี่ชายที่เขาได้เคยกล่าวลาเอาไว้ ไขว้ขานั่งลงบนเสื่อ เสียงพิณที่บรรเลงออกมาจากสายพิณนั้น บัดเดี๋ยวแฝงด้วยอารมณ์กลัดกลุ้มครุ่นคิด บัดเดี๋ยวเกิดเป็นเสียงสูงตํ่าเว้นช่วงผันแปร จากช้าเป็นเร็วเร่งร้อนดุดัน ทลายบรรยากาศที่เงียบสงัดให้อึกทึก ความคับแค้นใจและความฮึกเหิมเร่า ร้อน ฟ้าดินยังซาบซึ้ง ภูตผีและทวยเทพยังหลั่งน้ำตา เมื่อเพลงจบลง เขาแหงนหน้ามองฟ้าแล้วถอนหายใจยาวและรําพันว่า “เพลงกว่างหลิงส่านได้สิ้นสุดลงในวันนี้แล้ว” 【《广陵散》于今绝矣!】
นักโทษประหารคือใคร ข้าคนนี้ ยังคงคือจีคัง 【嵇康】 จีคังไม่เพียงแต่เป็นหนึ่งในกลุ่มเจ็ดเมธีในป่าไผ่ที่มีชื่อเสียง เขายังเป็นคนที่มี พรสวรรค์ สง่าผ่าเผยจนคนรุ่นหลังต่างยกย่องชื่นชม อีกทั้งความสามารถทางด้านดนตรีของเขาก็เหนือชั้น แนวความคิดทางดนตรีของเขาที่ว่า “ดนตรีไม่มีเศร้าไม่มีสุข” กลายเป็น แนวความคิดที่มีบทบาทสําคัญกับวงการดนตรีจีน ขณะเดียวกัน ตํานานที่เขาดีดกู่ฉินในเพลง “กว่างหลิงส่าน” 《广陵散》ก็เป็นทํานองเพลงดนตรีกู่ฉินที่มีความเป็นเลิศ ถ้าอย่างนั้น จีคังที่ถูก “สั่งประหารที่เมืองตะวันออก” ก่อนโดนประหารทําไมต้องดีดกู่ฉินเพลงกว่างหลิงส่าน เพลงนี้จริงๆ แล้วมีรายละเอียดอะไรอยู่ข้างในกันแน่???
ถ้าคุณเคยดูภาพยนตร์เรื่องฮีโร่ ลองนึกย้อนกลับไปยังฉากหลังจากเปิดเรื่องไปสักครู่ เมื่อ “ไร้นาม” และ “ฟ้ากว้าง” ใช้หอกและดาบต่อสู้กัน มีผู้เฒ่าคนหนึ่งบรรเลงกู่ฉินอยู่ข้างๆ เสียงฝน เสียงอาวุธ และเสียงของสายกู่ฉินสูงตํ่าแปรผัน ทําให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นและมีอารมณ์ร่วม บทเพลงที่บรรเลงนี้ก็คือเพลงกว่างหลินส่าน เนื้อหาเพลงบรรยายถึงเรื่องราวอันเลื่องชื่อที่ เนี่ยเจิ้งลอบสังหารเจ้ารัฐหาน ในความเป็นจริงนั้นผู้กํากับได้อาศัยโครงเรื่องที่มีลักษณะคล้ายกันนี ้มาใช้เปรียบเทียบในการสื่ออารมณ์ในฉากที่ “จิ้งเคอลอบสังหารเจ้ารัฐฉิน”
และนี่คือกู่ฉิน เครื่องดนตรีซึ่งมีเพียงเจ็ดสายนี้ ที่ได้บันทึกเรื่องราวของลักษณะนักปราชญ์ ปัญญาชนและขุนนางของจีนไว้อย่างลึกซึ้ง พวกเราต่างทราบกันดีว่าวัฒนธรรมจีนนั้นหนีไม่พ้น เหล่านักปราชญ์ปัญญาชนและขุนนาง และนักปราชญ์ปัญญาชนและขุนนางก็ขาดกู่ฉิน หมากล้อม การเขียนพู่กันจีนและการวาดพู่กันจีนไม่ได้ อักษรจีน “琴” ยังสื่อความหมายถึงดนตรี ซึ่งก็หมายถึงเครื่องดนตรีทุกชนิด อีกทั้งที่ต้องเน้นเป็นพิเศษคือ กู่ฉินเป็นเครื่องดนตรีจีนที่มีความเก่าแก่และดั้งเดิม บนเครื่องดนตรีชนิดนี้ได้รวมไว้ซึ่งจิตวิญญาณของเหล่านักปราชญ์ปัญญาชน และขุนนางของจีน และด้วยเหตุนี้นี่เองเสียงดนตรีของกู่ฉินจึงเป็นศิลปะที่สูงส่งเกินไป มวลชนอันไพศาลย่อมมิอาจชื่นชมความงามนี้ได้ กู่ฉินและทํานองเพลงกู่ฉินไม่อาจเป็นที่เข้าใจของคนโดยมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว กู่ฉินนับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมทางด้านดนตรีของ ชนชาติจีนเลยทีเดียว
เพลงกู่ฉินที่มีชื่อเสียงคือเพลงเรื่องของ “สายธารรินผ่านภูผาสูง” 《高山流水》 ซึ่งพวกเราคุ้นเคยกันดี ที่แม่น้ำฉางเจียงและชุมทางแม่น้ำฮั่น มีช่องปากทางแห่งหนึ่งที่เรียกว่า จ้งเจิ้น ที่นั่นมีก้อนหินหยก สี่เหลี่ยมก้อนหนึ่ง ซึ่งก็คือแท่นกู่ฉินที่ผู้คนกล่าวถึง กล่าวกันว่าเรื่องราว “สายธารรินผ่านภูผาสูง” ได้เกิดขึ้นที่นี่ ตัวอักษรที่ปรากฏในเนื้อเพลงบรรยายว่า ด้านหลังของแท่นกู่ฉินมีวิหารหนึ่งหลัง ซึ่งไม่เพียงแต่อยู่ในกลางป่าลึกอีกทั้งยังล้อมรอบไปด้านแม่น้ำทั้งสามด้าน แม่น้ำเยว่อยู่ทางด้านตะวันตก ภูเขาจุนอยู่ทางด้านตะวันออก ทิวทัศน์งดงาม ยู่โป๋หยา ก็มีความสุขสนุกสนานร่าเริงใน ธรรมชาติที่งดงามนี้ ฝึกฝนศิลปะดนตรีฉิน และหลังจากนั้น จงจือชี ก็ถูกขนานนามว่า “ผู้มีความ เข้าใจในดนตรี” ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อกล่าวถึงดนตรีที่มีผลต่อพฤติกรรมของเขา สิ่งที่สําคัญ คือท่วงทํานองและความคิดทางด้านศิลปะ ซึ่งยากที่จะอธิบาย ท่วงทํานองและความคิด ทางด้านศิลปะอย่างแรงกล้าบางอย่าง ที่ส่งผลต่อจิตใจมนุษย์และโลกอันกว้างใหญ่ให้สัมผัสถึง ชี้ให้เห็นถึงการหล่อหลอมของจิตวิญญาณ ความพยายามหล่อหลอมจิตใจและร่างกายของตนเอง ให้ไปกลับระหว่างโลกมนุษย์กับดินแดนนิพพานอย่างนั้น ท่วงทํานองและความคิดทางด้านศิลปะ อย่างนั้นเป็นสิ่งบริสุทธิ์แต่ก็คือความพร่ามัว การหล่อหลอมแบบนั้นไร้ซึ่งอัตถประโยชน์ ไม่ได้เป็นการเอาใจประเพณีนิยมโดยทั่วไป เพราะว่ามันไม่ถูกครอบอยู่ภายใต้ประเพณีนิยม นี่คือ ปรากฏการณ์และคุณสมบัติเฉพาะของวัฒนธรรมของปัญญาชนจีนในสมัยโบราณ และ พฤติกรรมทางดนตรี กู่ฉินก็คือการแสดงออกทางวัฒนธรรมเฉพาะเช่นนี้
กู่ฉินมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ฉินเจ็ดสาย เป็นเครื่องดนตรีดีดที่มีความเก่าแก่มากชนิดหนึ่ง ของโลก เสียงที่เกิดขึ้นหลักๆ แล้วเกิดจากสายฉินและไม้ นับถึงปัจจุบัน กู่ฉินมีประวัติความเป็นมากว่า 3000 ปี ท่วงทํานองที่แฝงอยู่ในเพลง ตลอดจนโครงสร้างทางดนตรีของกู่ฉินนั้นมีความงดงามและสูงส่งมาก นับเป็นศูนย์รวมและสะท้อนถึงเอกลักษณ์พื้นฐานของระบบดนตรีจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อตัวเป็นหลักในการวินิจฉัยความงามทางดนตรีของชาวจีน ศิลปะดนตรีกู่ฉิน ส่งผลต่อกระทบโดยกว้างต่อประวัติศาสตร์ของดนตรีจีน ประวัติศาสตร์ด้านสุนทรียศาสตร์ ประวัติศาสตร์ด้านสังคมและวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ทางด้านแนวคิด เป็นตัวแทนสําคัญ ของจิตวิญญาณและวัฒนธรรมทางด้านดนตรีของประเทศจีนในสมัยโบราณ
中国古琴
魏景元四年(公元 263年)深秋的一天,一位死囚慢慢走向建春门外东市,在洛阳城上空弥漫着的阴冷的云雾下,在人群中透出的千百道叹息的视线中,他走向死亡。不,事实上,他正从容不迫地步入另一个世界。行刑时间已经接近,他从前来诀别的兄长手中接过一张古琴,盘膝席地而坐。琴弦发出的琴音时而带着沉思,时而抑扬顿挫、舒缓疾速,划破死寂的气氛,幽愤激昂,感天动地,惊鬼泣神。一曲终了,犯人仰天长叹:“《广陵散》于今绝矣!”死囚为谁?此人乃嵇康也。嵇康不仅以 “竹林七贤” 之一闻名,其才华、气节之高为后世传为佳话。而且,他在音乐上也是造诣非凡,他的《声无哀乐论》成为了中国音乐思想史上的重要篇章。同时,传说他弹奏的《广陵散》一曲是琴曲绝声之作。那么,“问斩东市”的嵇康临刑前为什么要弹《广陵散》,该曲的内容究竟是什么呢?
如果你看过影片《英雄》,请回想开场不久的一个场景:“无名” 与 “长空” 剑矛对战,一位老人在旁演奏“古琴”。雨水声、刀枪声、琴弦声跌宕起伏,扣人心弦。这琴曲正是《广陵散》,描写的内容即著名的“聂政刺韩王”。事实上。导演正是借用类似的情节来隐喻 “荆轲刺秦王”。 正是在这样一件仅有七根琴弦的古器上深深地印记着中国文人士大夫的品性。我们都知道,中国文化离不开文人士大夫,而文人士大夫又缺不了琴棋书画。汉字“琴”既代表音乐,也是所有乐器的总和。而且特别需要指出,古琴是最古老、最纯正的中国乐器,在它身上集聚了中国文人士大夫的精神,也由此,它的音乐“曲高和寡”,古琴和琴曲多不为大众所了解。而事实上,古琴可以称得上是中华民族音乐文化的象征。著名的古琴曲《高山流水》的故事,我们都很熟悉。在长江和汉水交界的口子处有一个地方叫重镇,那里有一块方方正正的玉石,这就是人们所说的“古琴台”。据说“高山流水”的故事就发生在这里。在一些文字中描写说,“古琴台”后面有一座殿堂,它不仅位于深深丛林之中,而且三面环水。月湖在它的西边,龟山在它的东面,景色极是美丽。俞伯牙就是在这样的自然环境里自娱自悦,修炼琴艺,以至后来钟子期成为了“知音”。在这种情形中,音乐对于它的行为者来说,讲究的是意境。那种说不清道不明的,心对人生、对大千世界所经验(改成体验比较好吧)到的某种冲动的意境,指向的是灵魂的升华,那种试图将自我的心与身往返于红尘与彼岸之间的升华。那种意境是纯净的,也是朦胧的;那种升华是没有功利的、不媚俗的,因为它是超脱的。这是中国古代士文化中特有的品质和现象。而弹弦拂徵(zhǐ)的古琴音乐行为正是这种特有文化的表现。
古琴又称七弦琴,是世界最古老的弹拨乐器之一,主要由弦与木质共鸣器发音,至今已有 3000多年的历史。古琴音乐所蕴含的音韵在琴曲的标记性、音乐的结构性方面是非产优雅的,它集中体现了中国音乐体系的基本特征,尤其是构成了汉族音乐审美的核心、古琴艺术在中国音乐史、美学史、社会文化史、思想史等方面具有广泛影响,是中国古代精神文化在音乐方面的主要代表之一。随着社会的剧烈变革,古琴作为传统文人修身养性的传统受到
冲击。在相当长的历史阶段,古琴被视为旧文化而致冷落。目前古琴只有专业舞台表演。据联合国科教文组织调查,目前中国只有不足50人精通古琴艺术,这种艺术已衰落到濒临消失的边缘。2003 年11 月7日,具有千年历史的古琴艺术继昆曲之后,被科教文组织列入
“人类口头和非物质文化遗产代表作名录”。
Zhōnɡɡuó ɡǔqín
Wèi jǐnɡ yuán sìnián (ɡōnɡyuán263nián )shēnqiū de yìtiān,yí wèi sǐqiú mànmàn zǒuxiànɡ jiàn chūn ménwài dōnɡ shì,zài luòyánɡchénɡ shànɡkōnɡ mímàn zhe de yīn lěnɡde yúnwù xià,zài rénqún zhōnɡ tòuchū de qiānbǎi dào tànxī de shìxiàn zhōnɡ,tā zǒuxiànɡ sǐwánɡ。bú,shìshí shànɡ,tā zhènɡ cōnɡrónɡ búpò dì bùrù lìnɡ yíɡè shìjiè。xínɡxínɡ shí jiān yǐjīnɡ jiējìn,tā cónɡ qiánlái jué biéde xiōnɡzhǎnɡ shǒuzhōnɡ jiēɡuò yìzhānɡ ɡǔqín,pánxī xídì érzuò。qínxián fāchū de qínyīn shí ér dàizhe chénsī,shíér yìyánɡ dùncuò、shūhuǎn jísù,huápò sǐjì de qì fēn,yōufèn jīánɡ,ɡǎntiāndònɡdì,jīnɡ ɡuǐ qì shén。yìqǔ zhōnɡliǎo, fànrén yǎnɡtiān chánɡtàn :" 《ɡuǎnɡlínɡ sàn 》yújīn jué yǐ ! "sǐqiú wéi shuí ?cǐrén nǎi jī kānɡ yě。jī kānɡ bú jǐnyǐ"zhúlín qīxián"zhīyī wénmínɡ,qí cáihuá、qìjié zhī ɡāo wéi hòushì chuánwéijiā huà。érqiě,tā zài yīnyuèshànɡ yěshì zàoyì fēifán,tāde 《shēnɡ wú āiyuè lùn》chénɡ wèile Zhōnɡɡuó yīnyuè sīxiǎnɡ shǐshànɡ de zhònɡyào piānzhānɡ。tónɡshí,chuánshuō tā tánzòu de 《ɡuǎnɡlínɡ sàn 》yìqǔ shì qín qǔ jué shēnɡ zhīzuò。nàme,"wènzhǎn dōnɡ shì"de jī kānɡ línxínɡ qián wèishénme yào dàn 《ɡuǎnɡlínɡ sàn 》,ɡāi qǔ de nèirónɡ jiū jìnɡ shì shénme ne ? rúɡuǒ nǐ kànɡuò yǐnɡpiān 《yīnɡxiónɡ 》,qǐnɡ huíxiǎnɡ kāichǎnɡ bùjiǔ de yíɡè chánɡjǐnɡ: "wúmínɡ"yǔ" chánɡkōnɡ" jiàn máo duì zhàn, yíwèi lǎorén zàipánɡ yǎnzòu"ɡǔqín"。yǔ shuǐshēnɡ、dāo qiānɡshēnɡ、qín xiánshēnɡ diēdànɡ qǐfú,kòurén xīnxián。zhè qín qǔ zhènɡshì 《ɡuǎnɡ
línɡ sàn 》,miáo xiěde nèirónɡ jí zhùmínɡ de"niè zhènɡ cì hán wánɡ "。shìshíshànɡ。dáoyǎn zhènɡshì jièyònɡ lèi shìde qínɡjié lái yǐn yù "jīnɡ kē cì qínwánɡ"。 zhènɡshì zài zhèyànɡ yíjiàn jǐnyǒu qī ɡēn qínxián de ɡǔ qì shànɡ shē nshēn dì yìn jìzhe Zhōnɡɡuó wénrén shìdàifu de pǐnxìnɡ。wǒmen dōu zhī dào,Zhōnɡɡuó wénhuà líbùkāi wén rénshì dàifu,ér wénrén shìdàifu yòu quē bùliǎo qínqíshūhuà。hànzì"qín"jì dàibiǎo yīnyuè,yěshì suóyǒu yuè qì de zǒnɡhé。érqiě tèbié xūyào zhǐchū,ɡǔqín shì zuì ɡúlǎo、zuì chún zhènɡ de Zhōnɡɡuó yuèqì,zài tā shēnshànɡ jíjù le Zhōnɡɡuó wénrén shì dàifu de jīnɡshen,yě yóucǐ,tāde yīnyuè"qǔɡāo héɡuǎ",ɡǔqín hé qín qǔ duō bùwéi dà zhònɡsuǒ liáojiě。ér shìshíshànɡ,ɡǔqín kéyǐ chēnɡdé shànɡ shì zhōnɡhuá mínzú yīnyuè wénhuà de xiànɡzhēnɡ。
zhùmínɡ de ɡǔqín qǔ 《ɡāoshān liúshuǐ 》de ɡùshi,wǒmen dōuhěn shúxī。zài chánɡjiānɡ hé hànshuǐ jiāojiè de kǒuzi chù yǒu yíɡè dìfɑnɡ jiào zhònɡzhèn,nàlǐ yǒu yíkuài fānɡfānɡzhènɡzhènɡ de yùshí,zhè jiù shì rénmen suǒ shuōde"ɡǔ qíntái"。jùshuō"ɡāoshān liúshuǐ"de ɡùshi jiù fā shēnɡzài zhèlǐ。zài yìxiē wénzì zhōnɡ miáoxiě shuō,"ɡǔ qíntái" hòumiɑn yǒu yízuò diàntánɡ,tā bùjǐn wèiyú shēnshēn cónɡlín zhīzhōn ɡ, érqiě sānmiàn huánshuǐ。yuèhú zài tāde xībiɑn,ɡuīshān zài tāde dōnɡmiàn,jǐnɡsè jí shì měilì。yú bó yá jiùshì zài zhèyànɡ de zìrán huánjìnɡ lǐ zìyú zì yuè,xiūliàn qín yì,yǐzhì hòulái zhōnɡ zǐ qī ché nɡ wèile"zhīyīn"。zài zhèzhǒnɡ qínɡxínɡ zhōnɡ,yīnyuè duìyú tāde xínɡ wéizhě láishuō,jiǎnɡjiū de shì yìjìnɡ。nàzhǒnɡ shuōbùqīnɡ dàobùmínɡ de,xīn duì rénshēnɡ 、duì dàqiān shìjiè suǒ jīnɡyàn (ɡǎichénɡ tǐyàn bǐjiào hǎobɑ )dào de mǒuzhǒnɡ chōnɡdònɡ de yìjìnɡ,zhǐxiànɡ de shì línɡhún de shēnɡhuá,nàzhǒnɡ shìtú jiānɡ zì wǒde xīn yǔ shēn wǎnɡ fǎ nyú hónɡchén yǔ bǐàn zhī jiānde shēnɡhuá。nàzhǒnɡ yìjìnɡ shì chúnjìnɡ de,yěshì ménɡ lónɡde;nàzhǒnɡ shēnɡhuá shì méiyǒu ɡōnɡlì de、bú mèi
sú de,yīnwèi tā shì chāotuō de。zhè shì Zhōnɡɡuó ɡǔdài shì wénhuà zhōnɡ tè yǒude pǐnzhì hé xiànxiànɡ。ér dàn xián fú zhēnɡ (zhǐ)de ɡǔ qín yīnyuè xínɡwéi zhènɡshì zhèzhǒnɡ tè yǒuwénhuà de biǎoxiàn。
ɡǔqín yòuchēnɡ qīxiánqín,shì shìjiè zuì ɡǔ lǎode tánbō yuèqì zhīyī,zhǔ yàoyóu xián yǔ mùzhì ɡònɡ mínɡqì fāyīn,zhìjīn yǐ yǒu 3000duōnián de lìshǐ。ɡǔqín yīnyuè suǒ yùnhán de yīnyùn zài qín qǔ de biāo jìxinɡ、yīn lède jiéɡòuxìnɡ fānɡmiàn shìfēi chǎn yōuyǎ de,tā jí zhōnɡ tǐxiàn le Zhōnɡɡuó yīnyuè tǐxì de jīběn tèzhēnɡ,yóuqíshì ɡòu chénɡle hàn zú yīnyuè shěn měide héxīn、ɡǔqín yìshù zài Zhōnɡɡuó yīn yuèshǐ、měixuéshǐ、shèhuì wénhuàshǐ、sīxiǎnɡshǐ děnɡ fānɡmiàn jùyǒu
ɡuǎnɡfàn yínɡxiǎnɡ,shì Zhōnɡɡuó ɡǔdài jīnɡshen wénhuà zài yīnyuè fānɡ miànde zhǔ yào dàibiǎo zhīyī。
suízhe shè huìde jùliè biànɡé,ɡǔqín zuòwéi chuántǒnɡ wénrén xiūshēn yǎnɡ xìnɡde chuántǒnɡ shòudào chōnɡjī。zài xiānɡdānɡ chánɡde lìshǐ jiē duàn,ɡǔqín bèi shìwéi jiù wénhuà ér zhì lěnɡluò。mùqián ɡǔqín zhíyǒu zhuānyè wǔtái biáoyǎn。jù liánhéɡuó kējiàowén zǔzhī diào
chá,mùqián Zhōnɡɡuó zhíyǒu bùzú 50 rén jīnɡtōnɡ ɡǔqín yìshù,zhè zhǒnɡ yìshù yǐ shuāi luòdào bīnlín xiāoshī de biānyuán。2003nián 11 yuè 7 rì,jùyǒu qiānnián lìshǐ de ɡǔqín yìshù jì kūnqǔ zhīhòu,bèi kējiào wén zǔzhī lièrù"rénlèi kǒutóu hé fēiwùzhì wénhuà yíchǎn dài biǎozuò mínɡlù"。
ขอบพระคุณข้อมูลจาก “คู่มือใช้สื่อการเรียนการสอนภาษาจีนจากสื่อมัลติมีเดีย”
《汉语多媒体课件手册》มหาวิทยาลัยศิลปศาสตร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น