7/02/2556

给力 “เก่งมาก” “เท่มาก” “เจ๋งมาก”

汉语热词 คำฮอตฮิตในภาษาจีน

汉语热词 คำฮอตฮิตในภาษาจีน


给力(gěi lì) เก่ย-ลี่
给力 (gěi lì) เก่ย-ลี่ ได้กลายเป็นคำใหม่ที่เกิดขึ้น และค่อยๆ ได้รับความนิยมบนอินเตอร์เน็ต มีความหมายว่า “เก่งมาก” “เท่มาก” “เจ๋งมาก”
เกิดจากการหล่อหลอมเอาความทันสมัย ความแปลกใหม่ การหยอกล้อ และพลังเอาไว้ในคำคำเดียว ถ้าคุณเห็นเด็กสุดเท่คนหนึ่ง เขามีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เหมือนกับในโฆษณายางรถยนต์มิชิลิน คุณก็สามารถพูดได้ว่า “เด็กคนนี้เจ๋งจริงๆ”

คำตรงกันข้ามก็คือคำว่า 不给力 (bùgěilì) ซึ่งมีความหมายว่า
“ไม่คล่องแคล่ว” หรือ “ทำอะไรไม่จริงจัง”
“ไม่ดี” “ไม่เอาไหน” เป็นต้น
 




เครดิต:
วารสาร สถาบันขงจื่อ (ฉบับภาษาจีน-ไทย)
ฉบับที่ 06 พฤษภาคม 2554

一般 ธรรมดาๆ

สำนวนจีน 一般
一般 Yì bān [อิ้ปาน = ธรรมดาๆ, พื้นๆ]




ตัวอย่างประโยค
对话一  บทสนทนา 1
A:  个饭馆儿的菜怎么样?
      Zhè gè fàn guănr de cài zĕn me yang?
       เจ้อเก้อฟ่านกวั่น(ร์)เตอไช่ เจิ่นเมอ ยาง?
       = อาหารร้านนี้เป็นอย่างไรบ้าง


B:  一般 
      Yì bān
      อี้ปาน = ก็ธรรมดาๆ  
    
对话二  บทสนทนา 2


A: 你觉得今天晚上的节目怎么样?
     Nǐ jué de jīn tiān wăn shàng de jié mù zĕn me yàng ?
     หนี่เจี๋ยะเตอ จินเทียนหวั่นซั่งเตอเจี๋ยมู่ เจิ่นเมอย่าง?
     = คุณรู้สึกว่ารายการคืนวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง


B: 一般
      Yì bān
      อี้ปาน = ก็ธรรมดาๆ



ติดตามสำนวนอื่นๆ เพิ่มเติมได้จาก
ดีวีดีเพื่อสื่อการเรียนการสอนภาษาจีน
ชุด "50 สำนวนจีนฮิตติดปาก"

7/01/2556

กฎการเขียนสัทอักษรภาษาจีน 拼写规则

กฎการเขียนสัทอักษรภาษาจีน 拼写规则


1. i, u,และ ü 自成音节i,
    u,และ ü สามารถประกอบขึ้นเป็นพยางค์ได้ด้วยตัวเอง
    
i, u,และ ü เป็นสระที่ประกอบขึ้นเป็นพยางค์ได้โดยไม่ต้องมีเสียงพยัญชนะต้น
    เมื่อ i, u,และ ü ประกอบขึ้นเป็นพยางค์ด้วยตัวเอง จะเขียนเป็น yi, wu, และ yu




2. 以 “i” 开头的韵母 เสียงสระประสมที่ขึ้นต้นด้วย  “ i ” 
   หากด้านหน้าเสียงสระประสมที่ขึ้นต้นด้วย “ i ” ไม่มีเสียงพยัญชนะต้น

  ให้เปลี่ยน “ i ” เป็น “y”  หรือเติม “y” ไว้ข้างหน้าดังตัวอย่างด้านล่าง

 



 
3.以 “u” 开头的韵母 เสียงสระประสมที่ขึ้นต้นด้วย “u
  หากด้านหน้าเสียงสระประสมที่ขึ้นต้นด้วย “u”  ไม่มีเสียงพยัญชนะต้น ให้เปลี่ยน “u”  เป็น “w”
 
4. 以 “ü” 开头的韵母 เสียงสระประสมที่ขึ้นต้นด้วย “ü
    หากด้านหน้าเสียงสระประสมที่ขึ้นต้นด้วย “ü” ไม่มีเสียงพยัญชนะต้น ให้เติม “y” ข้างหน้า “ü”
    และตัดจุดสองจุดด้านบน “u” ออก
 

5. “ü” 在 j,q, x, y 后面写成 u  เมื่อ ü อยู่หลัง j q x และ yให้เขียนเป็น u
    เมื่อ “j”, “q” “x” และ “y” สะกดร่วมกับ “ü” หรือเสียงสระประสมอื่นที่ขึ้นต้นด้วย “ü”
    ให้ตัดจุดสองจุดข้างบน “u” ออก

 
 
 
6. iou uei uen 的拼写规则 กฎการเขียนสระประสม iou, uei และ uen
    เมื่อ “iou” “uei” และ “uen” สะกดร่วมกับเสียงพยัญชนะต้น ให้เขียนเป็น “iu” “ui” และ “un”
    ดังตัวอย่างด้านล่าง
 
 
 
 
7. 隔音符号 (’ ) เครื่องหมายคั่นเสียง ( ’)
    เมื่อพยางค์ที่ขึ้นต้นด้วย a o และ e อยู่ต้อท้ายพยางค์อื่น และตัวอักษรแสดงเสียงของพยางค์ทั้งสอง
    ที่อยู่ติดกันทำให้เกิดความสับสนในการอ่าน ให้ใช้เครื่องหมายคั่นเสียง (’ ) คั้นระหว่างพยางค์ทั้งสอง
    ดังตัวอย่างด้านล่าง
   
    jī è =  jiè      pí ăp =   piăo       可爱 =  kě ài
 
8. 字母的大写 กฎการเขียนตัวพิมพ์ใหญ่
    โดยทั่วไปการเขียนสัทอักษรภาษาจีนจะเขียนด้วยตัวพิมพ์เล็ก แต่หากเป็นตัวอักษรตัวแรกของ
    ประโยค ตัวอักษรตัวแรกของชื่อ นามสกุล และชื่อเฉพาะต่างๆ จะต้องเขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่
    เช่น
    Nín guìxìng?    Zhōngguó     Běiijīng     Qīngmài
 


 
 
ขอขอบพระคุณ
แบบเรียนภาษาจีนพื้นฐานชุดสัมผัสภาษาจีน
体验汉语基础教程1 [泰语版]
 


การกลายเสียงวรรณยุกต์ 变调

การกลายเสียงวรรณยุกต์ 变调



การกลายเสียงวรรณยุกต์เสียงสาม
1. เมื่อพยางค์เสียงสามอยู่ติดกันสองพยางค์ จะต้องเปลี่ยนการออกเสียงวรรณยุกต์ของพยางค์หน้า
    เป็นเสียงสอง เช่น

   你好 (Nĭ hăo หนี่ห่าว) ต้องเปลี่ยนการออกเสียงเป็น Ní hăo หนีห่าว
   很好 (Hěn hăo เหิ่นห่าว) ต้องเปลี่ยนการออกเสียงเป็น Hén hăo เหินห่าว เป็นต้น

2. เมื่อพยางค์เสียงสามอยู่หน้าพยางค์เสียงหนึ่ง เสียงสอง เสียงสี่ และเสียงเบา
   จะต้องออกเสียง  วรรณยุกต์ของพยางค์หน้าเพียงครึ่งหนึ่ง กล่าวคือ จะกดเสียงลงต่ำ
   โดยไม่ยกระดับเสียงขึ้นในช่วงท้ายพยางค์ การออกเสียงลักษณะนี้ เรียกว่า
   “การออกเสียงสามครึ่งเสียง”ตัวอย่างเช่น คำว่า
  老师  lăoshī
  很难 hěn nán
  很大 hěn dà
  我们 wǒmen

3. สำหรับเครื่องหมายกำกับวรรณยุกต์ยังคงรูปวรรณยุกต์เสียงสาม “˅”ตามเดิม




 

การกลายเสียงของคำว่า “一”(yī  อี = หนึ่ง)
  
เดิมที “一”เป็นคำที่มีวรรณยุกต์เสียงหนึ่ง

1. เมื่อต้องการอ่านคำว่า “一”ที่ปรากฏโดยลำพัง หรือนับจำนวน “หนึ่ง” หรืออ่านตัวเลข “หนึ่ง”
    ให้ออกเสียงว่า “ yī (อี)” ตามเดิม

2. หากคำว่า “一”ปรากฏอยู่หน้าพยางค์เสียงสี่ ให้เปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ของคำนี้เป็นเสียงสอง
    อ่านออกเสียงว่า “ yí (อี๋)”
   เช่น 一定 yī dìng  ให้อ่านออกเสียงเป็น yí dìng (อี๋ติ้ง)

3. หาก “一”ปรากฏอยู่หน้าพยางค์เสียงหนึ่ง เสียงสอง หรือเสียงสาม
   ให้เปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ของคำนี้เป็นเสียงสี่ อ่านออกเสียงเป็น “ yì (อี้) ”
   ตัวอย่าง
   เมื่ออยู่หน้าพยางค์เสียงหนึ่ง  一天  yī tiān ให้ออกเสียงเป็น yì tiān (อี้เทียน)
   เมื่ออยู่หน้าพยางค์เสียงสอง  一年  yī nián อี้เหนียน ให้ออกเสียงเป็น yì nián (อี้เหนียน)
   เมื่ออยู่หน้าพยางค์เสียงสาม  一起  yī qĭ  ให้ออกเสียงเป็น yì qĭ  (อี้ฉี่)


การกลายเสียงของคำว่า “不”(  ปุ้ = ไม่)

“不” เมื่ออยู่หน้าพยางค์เสียงหนึ่ง เสียงสองและเสียงสาม ให้ออกเสียงคงเดิม เช่น
  不高 bù gāo 
  不忙 bù máng
  不好 bù hăo

  แต่เมื่อคำว่า “不”ปรากฏอยู่หน้าพยางค์เสียงสี่ ให้เปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ของคำนี้เป็นเสียงสอง
  อ่านว่า  “bú เช่น
 
  不客气  bù kè qi  (ปู้เค่อชี่) ให้ออกเสียงเป็น 不bú kè qi (ปู๋เค่อชี่)


การออกเสียงพยางค์ที่ผสานเสียงกับสระ “er” ท้ายพยางค์ 儿化韵
เมื่อปรากฏสระเสียงพิเศษ “er” อยู่ด้านหลังสระอื่น และเกิดการผสานเสียงเข้ากับเสียงพยัญชนะของพยางค์ด้านหน้ากลายเป็นพยางค์เดียวกัน ลักษณะการออกเสียงแบบนี้เรียกว่า “儿化 (èr huà)”
การออกเสียง 二化 จะต้องงอลิ้นขึ้นตรงท้ายพยางค์ ส่วนการเขียนสัทอักษร (เสียงอ่าน) เพื่อแสดงเสียงดังกล่าว จะต้องเพิ่ม “r” ตรงท้ายพยางค์เดิม และหากต้องการเขียนคำที่มีลักษณะการออกเสียงเช่นนี้ด้วยตัวอักษรจีน จะต้องเขียนตัว “儿” เพิ่มไว้ด้านหลัง
เช่น

    nă  + èr = năr    哪  +  儿   = 哪儿
    zhè  + èr = zhèr    这 + 儿 = 这儿

















ขอขอบพระคุณ
แบบเรียนภาษาจีนพื้นฐานชุดสัมผัสภาษาจีน
体验汉语基础教程1 [泰语版]

วรรณยุกต์ 声调

วรรณยุกต์ 声调



1. เสียงวรรณยุกต์ 声调
เสียงวรรณยุกต์ คือการเปลี่ยนแปลงของระดับเสียงสูงต่ำในการออกเสียง
เสียงวรรณยุกต์ในภาษาจีนกลางมีทั้งหมด 4 เสียง ได้แก่

เสียงหนึ่ง “ ”  阴平 คล้ายกับเสียงสามัญในภาษาไทย แต่ออกเสียงสูงกว่าและลากเสียงยาวกว่าเล็กน้อย
เสียงสอง “ ̸ ”  阳平 คล้ายกับเสียงจัตวาในภาษาไทย แต่จะลากเสียงขึ้นสูงกว่าเล็กน้อย
เสียงสาม “ ˅ ” 上声 เป็นเสียงวรรณยุกต์ที่ต้องกดเสียงลงต่ำก่อน แล้วจึงลากเสียงให้สูงขึ้นตอนหลัง ในช่วงที่กดเสียงลงต่ำ จะออกเสียงใกล้เคียงกับ เสียงเอก ในภาษาไทย
เสียงสี่ “ \ ” 去声 คล้ายกับเสียงโทในภาษาไทย แต่จะออกเสียงสั้น และจบเสียงเร็วกว่า


เครื่องหมายกำกับเสียงวรรณยุกต์ทั้งสี่นี้ จะวางไว้บนเสียงสระหลักของพยางค์
พยางค์ที่มีเสียงวรรณยุกต์ต่างกัน จะแสดงถึงความหมายที่ต่างกันไปด้วย เช่น

mā 妈  ออกเสียง “มา”  แปลว่า แม่
má 麻 ออกเสียง “ม๋า” แปลว่า ปอ, ป่าน
mă 马 ออกเสียง “หม่า” แปลว่า ม้า
mà 骂 ออกเสียง “ม่า”  แปลว่า ด่า


2. เสียงเบา 轻声
เสียงเบา หมายถึง เสียงที่เปล่งออกมาต่อจากพยางค์ก่อนหน้านั้นอย่างกระชั้นชิด มีลักษณะการออกเสียงสั้นและเบากว่าเสียงทั่วไป เสียงเบาที่อยู่หลังวรรณยุกต์เสียงหนึ่ง เสียงสอง และเสียงสาม จะออกเสียงต่ำต่อเนื่องจากเสียงวรรณยุกต์ก่อนหน้า  ส่วนเสียงเบาที่อยู่หลังวรรณยุกต์เสียงสาม จะออกเสียงสูงขึ้นจากระดับเสียงของพยางค์หน้าเล็กน้อย เช่น


妈妈 māma มาหม่ะ  แม่
爷爷 yéye   เย๋เย      ปู่
奶奶 năinai ไหน่ไน  ย่า
爸爸 bàba  ป้าปะ     พ่อ






ขอขอบพระคุณ
แบบเรียนภาษาจีนพื้นฐานชุดสัมผัสภาษาจีน
体验汉语基础教程1 [泰语版]

建议 โพสต์แนะนำ

สำนวนจีน VS สำนวนไทย Part 5 [W]

สำนวนจีนที่ขึ้นต้นด้วยพินอิน w  挖墙脚  [wāqiángjiǎo]  โค่นล้ม (比喻拆台) 外强中干  [wàiqiángzhōnggān]  แข็งนอกอ่อนใน/ภายนอกดูแข็งแรงแท้จริงแล้วอ่อนแอ ...